วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] ทำไมเวลาทำบุญต้อง "กรวดน้ำ" อุทิศส่วนกุศล?


ทำไมเวลาทำบุญต้อง "กรวดน้ำ" อุทิศส่วนกุศล?

โดย...พระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตชีโว) วัดพระธรรมกาย


คำถาม ~ ทำไมเวลาทำบุญต้องกรวดน้ำ? ธรรมเนียมการกรวดน้ำมีที่มาที่ไปอย่างไร? ถ้าลืมกรวดน้ำจะมีผลอย่างไร?

คำตอบ ~ ประเพณีกรวดน้ำเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน "พระเจ้าพิมพิสาร" ผู้สร้างวัดแรกในพระพุทธศาสนา ให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติในอดีตชาติ ที่ละโลกแล้ว ไปเกิดเป็นเปรต และมารอรับส่วนบุญอยู่นานเป็นพุทธันดร

แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารระลึกชาติไม่ได้...จึงไม่ทรงทราบว่าญาติของพระองค์ในอดีตชาติ ไปเกิดเป็นเปรต และไม่ทรงทราบว่า เขามารอรับส่วนบุญส่วนกุศลอยู่นานเป็นพุทธันดรแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาพระองค์ทำบุญก็เลยไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้ ญาติที่เป็นเปรตก็เลยยังเป็นเปรตต่อไป
          
ญาติเหล่านั้นเป็นทุกข์หนัก ก็เลยปรากฏตัวให้เห็นว่า ตัวเองเป็นเปรต ส่งเสียงร้องโหยหวน อยู่ในวัง พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นเข้า ก็รีบเสด็จไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทำไมมีเปรตมาร้องลั่นอยู่เต็มวัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงเล่าเรื่องหนหลังให้ฟังว่า ...

"เปรตเหล่านี้คือ...ญาติในอดีตชาติของพระเจ้าพิมพิสาร ในอดีตชาติพระเจ้าพิมพิสารทำบุญทำทาน ตั้งโรงทานเลี้ยงพระ เลี้ยงมหาชน แต่ว่าญาติเหล่านี้ไม่มีกุศลศรัทธา เลยยักยอกเอาของที่จะถวายสงฆ์ไปใช้ไปกินเป็นของตัว ละโลกไปแล้วเลยต้องไปเกิดเป็นเปรต"
         
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พระเจ้าพิมพิสาร ทำบุญเลี้ยงพระ แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญ ส่งให้กับเปรตเหล่านั้น พวกเปรตเหล่านั้นพอได้รับส่วนบุญส่วนกุศลเท่านั้น ก็กลายสภาพไปเป็นเทวดาด้วยอำนาจบุญ
         
ถ้าทำบุญแล้วไม่อุทิศส่วนกุศล ตัวเองจะได้บุญหรือเปล่า? 

ก็ต้องบอกว่าจะกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ อย่างไร ๆ เราก็ได้บุญของเราอยู่แล้ว แต่ถ้ากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ... ก็จะทำให้เขาพลอยได้รับส่วนบุญส่วนกุศลไปด้วย แล้วก็พลอยเป็นสุขเช่นเดียวกับเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
         
เวลาเราอุทิศส่วนกุศลด้วยการกรวดน้ำ ให้ทำอุปมาในใจว่า "สายน้ำที่รินลงไปนั้นก็เหมือนสายบุญ"

เมื่อเราอุปมาในใจอย่างนั้นแล้ว บุญเราไม่พร่องไปหมดหรือ? 

ยุคนี้เศรษฐกิจรัดตัว กว่าจะได้เงินมาทำบุญก็ยาก แล้วเที่ยวไปอุทิศให้ใครต่อใครไปทั่ว บุญเราจะไม่หมดหรือ? ขอตอบว่า "ไม่หมด"
        
ทำไมไม่หมด? ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า ถ้าเราปลูกกล้วยไม้กระถางหนึ่ง กล้วยไม้นี้พอถึงเวลาก็ออกดอกสวยงาม กลิ่นก็หอม แทนที่เราจะเอาไว้ดมคนเดียว ดูคนเดียว เอาไว้ในห้องนอนของเราเพียงลำพัง เราก็เอาไปตั้งกลางห้องรับแขก แล้วก็ชักชวนพรรคพวก เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย มาดูกล้วยไม้สวย ๆ ของเรา แล้วมาช่วยกันดมความหอมนี้
         
ชวนเขามาตั้ง ๑๐ คน ๒๐ คน พอเขามาแล้ว เขาเห็นความสวยของกล้วยไม้เขาก็ชื่นใจทุกคน พอได้กลิ่นเขาก็หอมด้วยกันทุกคน ถามว่าญาติทั้ง ๑๐ คน ๒๐ คน มาชม มาดม กล้วยไม้ ของเราแล้ว ทำให้กล้วยไม้ของเราลดความสวยลงไปไหม? ไม่ลด ลดความหอมลงไปไหม? ไม่ลด
         
บุญที่เราอุทิศให้กับญาติของเราก็ไม่ได้พร่องไปเหมือนกัน พอญาติได้รับบุญที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น ชื่นใจขึ้นมาเลย ความทุกข์คลายลงไป พอความทุกข์คลาย ก็นึกถึงความดี นึกถึง บุญในอดีตที่ตัวสร้างไว้ได้ พอนึกได้เท่านั้น บุญเก่ามาบรรจบกับบุญใหม่ที่เราอุทิศส่วนกุศลไปให้ สภาพเปรตหลุดไปเลย เกิดใหม่กลายเป็นเทวดานางฟ้าไปเลย
         
ถ้าจะว่าไปแล้ว การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเป็นเรื่องของคนใจใหญ่ คนมีจิตใจ เมตตากรุณา เพราะฉะนั้นปู่ย่าตาทวดถึงไม่ยอมพลาด ไหน ๆ ก็ได้บุญใหญ่แล้ว ทำไมไม่ทำใจให้ใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก ว่าแล้วก็คว้าขันน้ำกรวดน้ำกันไปเลย
         
"...ทำบุญทุกครั้ง กรวดน้ำให้ได้ทุกครั้ง ถ้าหาน้ำไม่ได้ ก็ทำใจให้นิ่ง ให้ใส ถ้าทั้งใส ทั้งสว่าง จนกระทั่งเห็นสายบุญ อย่างนั้นไม่ต้องใช้น้ำเลย สายบุญนี้จะตรงดิ่งไปหาผู้ที่เราต้องการให้ถึง อย่างนั้นไม่ต้องใช้น้ำในคนโทแล้ว" น้ำใจที่งาม ๆ ส่งถึงกันเลย เหมือนต่อเทียน ต่อไฟ ถึงเลย ทำไปเถิด ดีจริง ๆ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น