วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[บทความ] ธรรมคุณ ๖ มีอะไรบ้าง ?



ธรรมคุณ ๖ มีอะไรบ้าง ?

พระธรรม หรือ ธรรมะ มาจาก Dhamma (บาลี: धम्म) หรือ Dharma (สันสกฤต: धर्म) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า "ธรรม" ที่หมายถึง ยก, พยุง, สนับสนุน, เกื้อหนุน ซึ่ง ธรรมะ นั้นหมายถึง สิ่งที่จะพยุง เกื้อหนุน ผู้ปฏิบัติธรรม และ ปกป้องผู้ปฏิบัติธรรม จากการตกอยู่ในความทุกข์ ลำเค็ญ เดือดร้อน

พระธรรม หมายถึง ธรรมะซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำออกเผยแผ่ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก เรียกว่า "มุขปาฐะ" สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คัมภีร์ที่บันทึกพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พระไตรปิฎก และยังมีคัมภีร์อื่นๆ ที่แต่งภายหลังเพื่อขยายความอีก ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ตามลำดับ

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่ทรงเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศ อาจพอกล่าวได้ว่าการเรียนรู้พระธรรม ก็คือการเรียนรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร

คุณของพระธรรมคุณมี ๖ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรองเป็นบทสวดสำหรับน้อมนำระลึกไว้ในใจ ดังนี้

๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม หมายถึง ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วท่ามกลาง อันได้แก่ สมาธิและงามในที่สุด อันได้แก่ ปัญญา พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์หรือหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

๒. สันทิฏฐิโก หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำบอกเล่าของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้

๓. อกาลิโก หมายถึง ไม่ประกอบด้วยการ ผู้ปฏิบัติไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา พร้อมเมื่อใดบรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใดเห็นผลได้ทันที นั่นคือ ให้ผลในลำดับแห่งบรรลุไม่เหมือนผลไม้อันให้ผลตามฤดูกาล

๔. เอหิปัสสิโก หมายถึง ควรเรียกให้มาดู พระธรรมเป็นคุณอัศจรรย์ดุจของประหลาดที่ควรเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง

๕. โอปนยิโก หมายถึง ควรน้อมเข้ามา ผู้ปฏิบัติควรน้อมเข้ามาไว้ในใจของตนหรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงด้วยการปฏิบัติให้เกิดขึ้นในใจ

๖. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายถึง อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ทุกคนที่น้อมนำมาปฏิบัติ จะรู้ซึ้งถึงผลแห่งพระธรรมนั้นด้วยตนเอง ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ในใจของตนเอง

คุณของพระธรรมข้อที่ ๑ มีความหมายกว้าง รวมทั้งปริยัติธรรม คือ คำสั่งสอนด้วย ส่วนคุณของพระธรรมข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๖ มุ่งให้เป็นคุณของโลกุตตรธรรม ดังนั้น เมื่อทราบความหมายของธรรมคุณ ๖ ทั้งหมดแล้ว การสวดมนต์เพื่อสรรเสริญพระธรรมคุณในครั้งต่อๆ ไป คงจะทรงความหมายอย่างเปี่ยมล้น

อนึ่ง การน้อมนำคุณของพระธรรม เพื่อเจริญธัมมานุสตินั้น มีอานิสงส์มาก ดังที่ ปัญญา ใช้บางยาง ได้บอกไว้ในหนังสือธรรมาธิบาย เล่ม ๑ ว่า

- ย่อมเป็นผู้มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา
- ตระหนักและอ่อนน้อมในพระธรรม
- ย่อมได้ความไพบูลย์แห่งคุณ มีศรัทธา เป็นต้น
- เป็นผู้มากด้วยปีติปราโมทย์
- ทนต่อความกลัว ความตกใจ อดกลั้นต่อทุกข์
- รู้สึกว่าได้อยู่กับพระธรรม
- เป็นบาทฐานให้บรรลุธรรมอันยิ่ง
- เมื่อประสบกับวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิด หิริโอตตัปปะ ย่อมปรากฏแก่เธอ
- เมื่อยังไม่บรรลุคุณอันยิ่ง เธอย่อมมีสุคติต่อไป


.....................................................................


วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[บทความ] พุทธคุณ ๙ คืออะไร ?




พุทธคุณ ๙ คืออะไร ?

คำว่า “พุทธคุณ” เป็นคำที่ชาวพุทธคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ได้อย่างถูกต้องนัก จึงขอนำมาอธิบายขยายความไว้ในที่นี้ โดยในพจนานุกรม พุทธศาสน์ ของรองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้ให้ความหมายไว้ว่า

พุทธคุณ ๙ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรอง เพื่อให้เป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐไว้ดังนี้

๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีคำแปลและความหมายอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้

๑.๑ เป็นผู้ควร คือ ผู้ทรงสั่งสอนสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้นได้ด้วย เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๑.๒ เป็นผู้ไกล คือ ผู้ทรงไกลจากกิเลสและบาปกรรม เพราะทรงละได้เด็ดขาดแล้วทั้งโลภ โกรธ และหลง
๑.๓ เป็นผู้หักซี่กำแพงล้อสังสารวัฏ คือ ผู้ทรงตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้แล้ว
๑.๔ เป็นผู้ไม่มีข้อลี้ลับ คือ ผู้ทรงไม่มีบาปธรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น และเป็นผู้ควรได้รับความเคารพของผู้อื่น

๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นการค้นพบด้วยพระองค์เอง ไม่มีครู อาจารย์เป็นผู้สอน

๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีวิชชาความรู้ตั้งแต่ความรู้ระดับพื้นฐาน จนกระทั่งความรู้ระดับสูงสุด และมีจรณะความประพฤติดีประพฤติได้ตามที่ทรงรู้ เช่น ความสำรวมในศีล เป็นต้น

๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดี คำว่า “ไปดี” มีความหมายหลายนัยคือ

๑.เสด็จดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางเดินที่ดี
๒.เสด็จไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ดียิ่ง
๓.เสด็จไปดีแล้ว เพราะทรงละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
๔.เสด็จไปปลอดภัยดี เพราะเสด็จไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก

๕. โลกวิทู เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก คือทรงรอบรู้โลกทางกายภาพ เช่นโลกมนุษย์ สัตว์โลก สังขารโลก โอกาสโลก และทรงรู้โลกภายในคือ ทุกข์และการดับทุกข์

๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีผู้ทรงฝึกคนได้อย่างยอดเยี่ยม คือ พระองค์ทรงรู้นิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย(มีแวว) อธิมุตติ(ความถนัด) อินทรีย์(ความพร้อม) ของบุคคลระดับต่าง ๆ และทรงฝึกสอนด้วยเทคนิควิธีการที่เหมาะแก่ความเคยชิน แววถนัด และความพร้อมของเขาให้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก

๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติที่ควรเป็นครูของบุคคลในทุกระดับชั้น เพราะพระองค์ทรงรอบรู้และทรงสอนคนได้ทุกระดับ ทรงสอนด้วยความเมตตา มิใช่เพื่อลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ทรงมุ่งความถูกต้องและประโยชน์สุขของผู้ฟังเป็นใหญ่ ทรงสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของผู้ฟัง และทรงทำได้ตามที่ทรงสอนนั้นด้วย

๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ พระองค์ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ยึดถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงรู้จักฐานะ คือ เหตุที่ควรเป็น เปรียบได้กับคนตื่นจากหลับแล้วทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่งพระองค์ทรงตื่นแล้วเป็นอิสระจากอำนาจของโลภ โกรธ หลง แล้ว เมื่อทรงตื่นแล้วก็ทรงแจ่มใสเบิกบาน มีพระทัยบริสุทธิ์สะอาด

๙. ภควา เป็นผู้มีโชค ผู้ทรงแจกแบ่งธรรม คือพระองค์ทรงเพียบพร้อมได้ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา นับเป็นผู้มีโชคดีกว่าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงทำการใดก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ ส่วน “ภควา” แปลว่า “ทรงแจกแบ่งธรรม” หมายถึง มีพระปัญญาล้ำเลิศ จนสามารถจำแนกธรรมที่ลึกซึ้งให้เป็นที่เข้าใจง่าย และมีพระกรุณาธิคุณจำแนกจ่ายคำสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ให้รู้ตาม

พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้ สรุปลงเป็น ๓ ประการคือ

๑. พระวิสุทธิคุณ คือ ความบริสุทธิ์ อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๑,๓ และ ๙
๒. พระปัญญาคุณ คือ ปัญญา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๒,๕ และ๘
๓. พระมหากรุณาธิคุณ คือ พระมหากรุณา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๔,๖ และ ๗



.......................................................

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[คติธรรม] "หัวใจ" พระพุทธศาสนา



วันนี้..."วันมาฆบูชา"
============

การ "ไม่ทำบาป" ทั้งปวง
การ "ทำกุศล" ให้ถึงพร้อม
การ "ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
นี้คือ..."หัวใจ" ของพระพุทธศาสนา
คือทางนำพาให้เรา "พ้นทุกข์"

~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

[บทความ]"โอวาทปาติโมกข์" สำคัญอย่างไร?



"โอวาทปาติโมกข์" สำคัญอย่างไร?


"โอวาทปาฏิโมกข์" เป็นหลักคำสอนสำคัญที่เป็น "หัวใจของพระพุทธศาสนา" อันประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ที่พระพุทธองค์ได้ประทานแก่ที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ 1,250 รูปใน "วันมาฆบูชา" เพื่อวางจุดหมาย หลักการ และวิธีการ ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งหลาย

นับป็นวันสำคัญที่ประกอบด้วย "องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ" คือ

1. พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย
2. พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นพระสงฆ์ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
3. พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6
4. วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต"

"โอวาทปาฏิโมกข์" สรุปได้เป็นสามส่วน คือ หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6

หลักการ 3
-------------

อันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาโดยย่อ ได้แก่

1. การไม่ทำบาปทั้งปวง
2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม
3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์

อุดมการณ์ 4
----------------
ของพระพุทธศาสนา อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ได้แก่

1. ความอดทนอดกลั้น เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ
2. การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวช มิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน
3. พระภิกษุและบรรพชิตไม่พึงทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยการทำความทุกข์กายหรือทุกข์ทางใจไม่ ว่าจะในกรณีใดๆ
4. พระภิกษุตลอดจนบรรพชิตต้องขอแก่ทายกด้วยอาการที่ไม่เบียดเบียน ( คือการไม่เอ่ยปากเซ้าซี้ขอ และไม่ใช้ปัจจัยสี่อย่างฟุ่มเฟือย)

วิธีการ 6
-----------

ที่ธรรมทูตผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นกลยุทธ เพื่อเป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้องเป็นธรรม ได้แก่

1. การไม่กล่าวร้าย
2. การไม่ทำร้าย
3. ความสำรวมในปาติโมกข์ (รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส)
4. ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร (เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณพอเพียง)
5. ที่นั่งนอนอันสงัด (สันโดษไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ)
6. ความเพียรในอธิจิต (พัฒนาจิตใจเสมอมิใช่ว่าเอาแต่สอน แต่ตนเองไม่กระทำตามที่สอน)

"วันมาฆบูชา" ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 จึงเป็นวันที่เหล่าพุทธบริษัทจะแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีโดยการน้อมนำ หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 วิธีการ 6 มาปฏิบัติใช้ต่อชีวิตตนเองเป็นประจำทุกวัน เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาและพระเมตตาคุณอันหาที่สุดมิได้แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...


วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[บทความ] พระสารีบุตร...ผู้สำเร็จเป็น "พระอรหันต์...ในวันมาฆบูชา"


พระสารีบุตร...ผู้สำเร็จเป็น "พระอรหันต์...ในวันมาฆบูชา"


วันพรุ่งนี้...จะเป็นวันสำคัญของพวกเราชาวพุทธคือ "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ...เนื่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา เป็นการแสดงปาติโมกข์ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต"

และในวันเดียวกันนี้ก็เป็นวันที่ "พระสารีบุตร"ระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศทางด้านปัญญาของพระพุทธเจ้า....ได้สำเร็จเป็น "พระอรหันต์" ในขณะที่ท่านกำลังถวายงานพัดให้แก่พระพุทธองค์...ณ ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชกูฏ นครราชคฤห์


ประวัติน่าสนใจของ "พระสารีบุตร"

"พระสารีบุตร" ผู้เป็น "พระอัครสาวกเบื้องขวา" ของพระพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า "เป็นเลิศกว่าพระภิกษุทั้งปวงในด้านสติปัญญา" เมื่อแรกเกิดมีชื่อว่า "อุปติสสะ" ท่านเกิดวันเดียวกันกับสหายของท่านคือ "โกลิตะ" ซึ่งต่อมาคือ "พระมหาโมคคัลลานะ" ผู้เป็น "พระอัครสาวกเบื้องซ้าย" ของพระพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า "เป็นเลิศกว่าพระภิกษุทั้งปวงในด้านผู้มีฤทธิ์มาก"

บรรลุโสดาบันและบวชในพระพุทธศาสนา..."พระอัสสชิ" อันเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์วันหนึ่งท่านถือบาตรและจีวร ไปสู่กรุงราชคฤห์...เพื่อบิณฑบาต "อุปติสสะ" ได้พบพระอัสสชิเถระ ประทับใจในอิริยาบถน่าเลื่อมใส สำรวมดี ของท่านพระอัสสชิเถระ ผู้มีอินทรีย์ฝึกดีแล้ว

จึงเกิดความคิดว่า "ท่านผู้นี้จักเป็นพระอรหันต์" จึงได้เดินตามหลังพระอัสสชิเถระและสอบถามพระอัสสชิเถระในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคำสอนของพระศาสดา พระอัสสชิจึงได้กล่าวคำสอนของพระพุทธองค์ว่า...

"พระพุทธองค์ท่านกล่าวบทอันลึกซึ้งละเอียดทุกอย่าง...เป็นเครื่องฆ่าลูกศร คือ ตัณหา เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ทั้งมวล ว่าธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้ามีปกติตรัสอย่างนี้"

เมื่ออุปติสสะได้ฟังก็ได้บรรลุโสดาบัน

หลังจากนั้น...อุปติสสะกราบลาพระอัสสชิเถระ แล้วนำธรรมะที่ได้รับฟังมา ไปบอกเพื่อนสนิทคือโกลิตะ จนได้บรรลุโสดาบัน เช่นเดียวกัน ทั้งสองได้ไปชวนสัญชัยปริพาชก ให้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ "สัญชัยปริพาชก" ปฏิเสธทั้งสองจึงได้พาปริพาชก ๒๕๐ คน ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ หลังจากฟังธรรมครั้งนั้น...ปริพาชก ๒๕๐ คนบรรลุเป็น "พระอรหันต์"...แต่อุปติสสะและโกลิตะ ยังคงบรรลุเพียง "โสดาบัน" เช่นเดิม ในครั้งนั้น...พระพุทธเจ้าทรงบวชให้แก่คนทั้งหมดด้วยวิธี "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ภายหลังบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว "อุปติสสะ" จึงมีชื่อเรียกใหม่ว่า "สารีบุตร" และ "โกลิตะ" จึงมีชื่อใหม่ว่า "โมคคัลลานะ"




"พระสารีบุตร" สำเร็จเป็น "พระอรหันต์" ในขณะที่ท่านกำลังถวายงานพัดให้แก่พระพุทธองค์อยู่นั้นพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมเกี่ยวกับ "ทิฏฐิและเวทนา" ให้กับทีฆนขปริพาชก...พระสารีบุตรก็ได้ฟังธรรมเหล่านั้นด้วยจึงทำให้..."พระสารีบุตร" ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์...และ..."ทีฆนขปริพาชก" ได้บรรลุโสดาบัน...ซึ่งวันนั้นคือ "วันเพ็ญเดือนมาฆะ" หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ...ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ให้กับพระอรหันต์ ๑.๒๕๐ รูป (บริวารของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ๒๕๐ รูปและบริวาลของชฎิล ๓ พี่น้อง ๑.๐๐๐ รูป)


ธรรมบรรยายของ...พระสารีบุตร

พระสารีบุตรได้แสดงธรรมอันลึกซึ้ง ปรากฏอยู่มากมายในพระไตรปิฎก เช่น

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑
สังคีติสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑
ทสุตตรสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑
ตอนท้ายของธรรมทายาทสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒
อนังคณสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒
สัมมาทิฏฐิสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒
มหาหัตถิปโทปมสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒
ธนัญชานิสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓
ฉันโนวาทสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔
ชัมพุขาทกสังยุตต์ ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘


บั้นปลายชีวิตของ "พระสารีบุตร"

พระสารีบุตรนั้น "นิพพาน"...ก่อนพระพุทธเจ้า...แต่ก่อนที่ท่านจะละสังขารเข้าสู่นิพพาน...ท่านพิจารณาเห็นว่า สมควรที่จะนิพพานในห้องที่ตนเองคลอดจากท้องมารดา เมื่อคิดเช่นนั้นจึงเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วเดินทางไปกับพระจุนทะผู้น้องชายพร้อมด้วยบริวาร

เมื่อไปถึงบ้านเดิมแล้วก็เกิด "ปักขันทิกาพาธ" คือ "โรคท้องร่วง" ขึ้นในคืนนั้น ในเวลาที่ท่านกำลังอาพาธอยู่นั้น...ก็ได้เทศนาโปรด "มารดา" จนได้บรรลุ "พระโสดาบัน" พอเวลาใกล้รุ่งของคืนเพ็ญเดือน ๑๒ ท่านก็ดับขันธ์นิพพาน พระจุนทะผู้น้องชายก็ได้ร่วมกับญาติทำฌาปนกิจสรีระของท่านในวันรุ่งขึ้น...แล้วเก็บอัฐิธาตุนำไปถวายพระบรมศาสดา...ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในเมืองสาวัตถี

พระพุทธองค์โปรดให้ก่อเจดีย์ บรรจุอัฐิธาตุของพระสารีบุตรเถระไว้ ณ พระเชตวันมหาวิหาร...เอวัง...ก็มีด้วยประการละฉะนี้แล...

[คติธรรม] "อัตตา" สูง...ทำตนให้ "ต่ำต้อย"




"อัตตา" น้อย...สร้างตนให้ "สูงส่ง"
เอา "ใจเขา" มาใส่ใจเรา...คนใกล้ชิด "รักใคร่"
เอาแต่ "ใจเรา" ไม่ใส่ใจเขา...คนใกล้ชิด "รังเกียจ"
"วางตัวตน" ....ลงได้เมื่อไหร่
"กัลยาณมิตร"...ก็มากมายเมื่อนั้น

~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[นิทานเซน] เรื่อง “ชนะ...เพราะไม่มี”



นิทานเซน...เรื่อง “ชนะ...เพราะไม่มี”

มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง สร้างวัดใกล้ๆกับสำนักของท่านนักพรตท่านหนึ่ง นักพรตท่านนั้นไม่ต้องการให้เขตละแวกนั้นมีวัด เลยเสกเวทย์มนต์คาถา ใช้เหล่าภูติผีปีศาจมารังควานภิกษุที่อยู่ในวัดอยู่เนืองๆ เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นหวาดกลัวไม่กล้าที่จะอยู่ที่วัดนี้อีกต่อไป ไม่นานเหล่าพระและสามเณรล้วนหวาดกลัวและย้ายหนีกันไปหมด เหลือแต่พระอาจารย์อยู่ที่วัดนี้เพียงผู้เดียวถึงสิบกว่าปี

ที่สุดเวทย์มนต์คาถาของนักพรตท่านนั้นถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น พระอาจารย์ก็ยังไม่ยอมย้ายไปไหน นักพรตรู้สึกหมดหนทางที่จะต่อกรด้วยแล้วจึงย้ายหนีไปเอง

หลังจากนั้นมีผู้ถามพระอาจารย์ว่า "นักพรตมีวิชาคาถาอาคมแก่กล้า ท่านชนะเขาได้อย่างไร?"

พระอาจารย์ตอบว่า "อาตมาไม่มีอะไรที่จะชนะพวกเขาได้ แต่ถ้าหากจะให้พูดจริงๆแล้ว มีเพียงคำเดียวว่า “ไม่มี” ซึ่งพวกเขาเปรียบเทียบไม่ได้”

“คำว่า “ไม่มี” จะไปชนะเขาได้อย่างไร?”

“พวกเขามีเวทย์มนต์คาถา ในขณะเดียวกันเวทมนต์เหล่านั้นมี จำกัด มีสิ้นสุด มีประมาณ มีขอบเขต,,, แต่ของอาตมา ไม่มีคาถา แต่ไม่มีจำกัด ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต อาตมาไม่ต้องใช้อะไรย่อมจะต้องชนะสิ่งที่ต้องใช้อะไร”

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[คติธรรม] "ต้องคิด" ทุกอย่าง "ที่พูด"



"พูดมาก"...สร้าง "กรรมมาก"
"พูดน้อย"...สร้าง "กรรมน้อย"
ไม่จำเป็น "ต้องพูด" ทุกอย่าง "ที่คิด"
แต่ "ต้องคิด" ทุกอย่าง "ที่พูด"

~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

[นิทานเซน] เรื่อง “ดูคัมภีร์วันละคำ”



นิทานเซน...เรื่อง “ดูคัมภีร์วันละคำ”


วันหนึ่ง พระอาจารย์ท่านหนึ่งถามศิษย์ว่า “วันหนึ่งเจ้าดูคัมภีร์กี่เล่ม?”

“เจ็ดแปดเล่ม บางทีก็สิบเล่ม” ลูกศิษย์ตอบ

พระอาจารย์พูดว่า “เจ้าดูคัมภีร์ไม่เป็น”

ลูกศิษย์เลยถามว่า “แล้วอาจารย์ดูวันละกี่เล่ม?”

“วันหนึ่งดูหนึ่งคำ” อาจารย์ตอบ

คำพูดของอาจารย์ที่ว่าวันหนึ่งดูหนึ่งคำคือ..."จิต"...

จิต...ครอบคลุมสรรพสิ่ง
จิต...คือธรรมะ
จิต...ก่อให้เกิดสรรพสิ่ง
จิต...คือทุกอย่าง
จิต...คือพุทธะ

ดูตำราแม้จะมีประโยชน์ เข้าใจผิดไปกลับมีโทษ ตำราอาจจะเป็นยา หรืออาจเป็นยาพิษ การให้ยากับโรค ให้ถูกโรคหาย ให้ผิดอาจถึงตาย

ดังนั้น... การอ่านคัมภีร์จะไม่ระมัดระวังไม่ได้ ตำราคัมภีร์มีเป็นพันๆเล่ม ไม่รู้จะเริ่มอ่านเล่มไหนก่อน ธรรมะแปดหมื่นสี่พันข้อ สามารถเข้าถึงธรรมได้ทุกข้อ  เราอาจไม่รู้จะเริ่มที่ข้อไหนก่อน แต่การ "ดูจิต" สามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลาจนมีผู้กล่าวว่า "ตู้พระไตรปิฎกก็อยู่ใน...จิต...ของเรานั่นเอง"

[คติธรรม] การยึดมั่นถือมั่น...ก่อให้เกิดทุกข์




การยึดมั่นถือมั่น...ก่อให้เกิดทุกข์
ไม่มีสิ่งใดในโลก...ที่เที่ยงแท้แน่นอน
ต่างเปลี่ยนแปลง...ไปตามกาลเวลา
อย่ามัวแต่คิดถึงแต่อดีต...ที่ล่วงไปแล้ว
อย่ามัวแต่ห่วงอนาคต...ที่ยังมาไม่ถึง
ทำชีวิต "ปัจจุบัน"...ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[บทความ] ๙ พิธีกรรมใน "งานศพ" ทำเพื่อ "คนเป็น" ไม่ใช่ "คนตาย"


๙ พิธีกรรมใน "งานศพ" ทำเพื่อ "คนเป็น" ไม่ใช่ "คนตาย"

"งานศพ" เราถือเป็น "งานอวมงคล" แต่สำหรับชาวพุทธงานศพจัดว่าเป็นงานบุญอย่างหนึ่ง เป็นงานบุญในแง่ที่ว่า ทุกท่านได้มาร่วมกันบำเพ็ญกุศลด้วยความปรารถนาดีแก่ผู้วายชนม์ ทั้งยังทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มาเตือนใจตนเองให้ตระหนักถึงความจริงของชีวิต นั่นคือเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ย่อมต้องประสบความเจ็บ ความป่วยและความตาย เป็นธรรมดา...

หลายท่าน...คิดว่าพิธีกรรมในงานศพนั้นล้วนจัดเพื่อคนตาย...แต่แท้จริงแล้วยังมีความหมายจากพิธีกรรมในงานศพอีก ๙ ประการ ที่จัดไว้เพื่อบอกกล่าวให้ "คนเป็น" ไม่ใช่ "คนตาย" ซึ่งพิธีกรรมงานศพที่ว่านี้ได้แก่



๑. มัดตราสังข์สามเปราะ 

 มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
 มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
 มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ

ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อยู่ในสังสารวัฏไม่มีวันจบ ไม่มีวันสิ้น



๒. เคาะโลงรับศีล

ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาท ขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตายไป ก็หมดโอกาสในการทำความดี สร้างบุญกุศลบารมี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ จะลุกขึ้นมาทำความดีอีกต่อไปไม่ได้แล้ว





๓. สวดอภิธรรม

อันหมายถึง ธรรมะชั้นสูง เป็นธรรมะล้วน ๆ มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จนนึกว่า สวดให้คนตาย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม...

ดังนั้น แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมกาย วาจา ใจให้อยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวด ก็จะเกิดสมาธิได้



๔. คณะพระสงฆ์ ๔ รูป

ที่มาสวดตอนกลางคืน จะถือตาลปัตรที่มีข้อความว่า "ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น" 

ไปไม่กลับ...คือ เวลา เตือนให้เรารู้ว่า วันเวลามีแต่เดินไปข้างหน้า ไม่อาจจะย้อนคืนมาได้ เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ เราควรพิจารณาไตร่ตรองว่าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง สิ่งที่ดีก็พึงกระทำต่อไป สิ่งที่ไม่ดีก็ควรปรับปรุงแก้ไขให้ดีึขึ้นมา

ไปแล้วไม่กลับนั้น........................สุสาน
มนุษย์และสัตว์นับประมาณ........มิถ้วน
ไปแล้วห่อนคืนสถาน...................เดิมสัก คนแล
เราท่านยังอยู่ล้วน.......................คติต้องไปตาม

หลับไม่ตื่น...คือ โมหะ - ความลุ่มหลง ถ้าคนเราหลงอยู่ในความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว ก็จะตกอยู่ในความมืดมน ความทุกข์ต่าง ๆ มองไม่เห็นหนทางแห่งความดีงาม ไม่มีความสุข ไม่มีความเจริญ

หลับแล้วไม่ตื่นนั้น.......................คือวัย
เด็กหนุ่มแก่ตามขัย.....................หมดสิ้น
ใครลืมปล่อยล่วงไป....................ไม่อาจ คืนนา
มีเดชสักพันลิ้น............................เรียกร้องห่อนคืน

ฟื้นไม่มี...คือ กรรม ให้เตือนตนเสมอว่า ทำกรรมใดไว้ ก็ได้กรรมนั้น เมื่อกระทำกรรมดี ก็ได้รับผลแห่งกรรมดี แต่ถ้ากระทำกรรมชั่ว ก็ได้แต่ผลของกรรมชั่ว ไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างหรือชดเชยให้หลุดพ้นจากผลแห่งกรรมชั่วได้ มีแต่ความดีเท่านั้นที่จะทำให้ผลนั้นเบาบางลง

ฟื้นไม่มีปราชญ์ชี้.......................เรื่องกรรม
ดีชั่วที่คนทำ................................สืบไว้
ดีนำสุขชั่วนำ..............................ทุกข์เที่ยง แท้เฮย
ใครห่อนแก้ไขได้......................ชั่วให้กลับดี

หนีไม่พ้น...คือ วิบากกรรม ให้เตือนตนเสมอว่า ไม่มีผู้ใดหนีพ้นจากการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ติเตียนนินทา และความทุกข์ทั้งปวงได้ แม้แต่องค์พระปฏิมายังมีราคิน ไฉลเลยมนุษย์เดินดินคนธรรมดาทั่วไปจะล่วงพ้นไปได้

เกิดตายหนีไม่พ้น.....................ทุกคน
จะชั่วดีมีจน...............................ทั่วผู้
เป็นกฎแห่ความวน...................ในวัฏ- ฏะนา
ปราชญ์หน่ายเพราะหยั่งรู้.......ย่อมเว้นยึดถือ



๕. บวชหน้าไฟ

มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ มนุษยฺทุกคนก็ต้องผ่านวิถีชีวิตแบบนี้กันทั้งนั้น

ไม่มีใครจะ่ล่วงพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปไม่ได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เข้าสู่ความเป็นไท พ้นทุกข์ เห็นธรรม เดินตามรอยทางแห่งพระอริยเจ้าทุก ๆ พระองค์



๖. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ

เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่า ให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง อยู่ในศีลธรรมคุณงามความดี จึงจะอยู่ดี มีความสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต



๗. แห่ศพเวียนซ้ายรอบเมรุ ๓ รอบ

การเวียนซ้าย ๓ รอบ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสาม อันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจแห่งกิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐ ที่นอนเนื่องในจิตใจของคนเรา ซึ่งจะก่อให้เกิดความทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้น ต้องทวนกระแสกิเลสตัณหาอุปทาน ไม่ทำตามใจชอบ ให้มีธรรมะอยู่ในใจ ทำทุกอย่างที่ดี มีคุณต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นการสอนธรรมะชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย



๘. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ 

เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ดุจดั่งน้ำทิพย์แห่งพระธรรม ที่คอยชะโลมจิตใจผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ที่อยู่ในทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนดอกบัวที่เกิดในตม แต่ไม่ติดตม และคู่ควรแก่การบูชาพระพุทธองค์



๙. การเก็บอัฐิและเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมา 

เพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากกรรมต่อไป ถ้าทำกรรมดี ก็จะนำไปสู่สุคติภูมิ อันได้แก่ เทวโลก พรหมโลก อรูปโลก แต่ถ้าทำกรรมชั่ว ก็จะนำไปสู่ทุคติภูมิ อันได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

พิธีกรรมทั้งหมดนี้ล้วนมีนัยเพื่อสอน "คนเป็น" ทั้งสิ้น...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล....


[นิทานเซน] เรื่อง “เก็บใบไม้”



นิทานเซน...เรื่อง “เก็บใบไม้”

ขณะที่อาจารย์เซนติ่งโจว และพระลูกศิษย์กำลังทำวัตรอยู่ ณ อารามแห่งหนึ่ง พลันมีลมพัดมาหอบใหญ่ ทำเอาใบไม้บนต้นพากันร่วงหล่นลงมาเต็มลานดิน

อาจารย์เซนจึงเดินออกไปก้มลงเก็บใบไม้เหล่านั้นใส่ย่ามทีละใบ... ทีละใบ... แต่ไม่ว่าจะเก็บสักเท่าไหร่ ใบไม้ก็ยังถูกลมพัดร่วงหล่นลงมาไม่หยุดหย่อน

ศิษย์เซนเห็นดังนั้น จึงกลัวอาจารย์เซนลำบาก ร้องบอกออกไปว่า "ท่านอาจารย์มิต้องเก็บใบไม้เหล่านี้หรอก ยังไงๆเสีย พรุ่งนี้เช้าพวกกระผมก็จะต้องเก็บกวาดทำความสะอาดลานวัดอยู่แล้ว ปล่อยให้มันร่วงลงมาเถิด"

อาจารย์เซนติ่งโจว ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า "เจ้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้น แม้จะเก็บกวาดแล้ว แต่การที่ข้าเก็บใบไม้ขึ้นมาอีกใบหนึ่ง ย่อมช่วยทำให้ขณะนี้มันสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม"

ศิษย์ได้ฟังดังนั้นก็กล่าวแย้งว่า "อาจารย์ ใบไม้ร่วงมากมาย ขณะที่ท่านเดินเก็บไปถึงเบื้องหน้า เบื้องหลังท่านก็มีใบไม้ใบใหม่ร่วงลงมาเพิ่มอยู่ดี แล้วอย่างนี้ท่านจะเก็บหมดได้อย่างไร มิใช่เสียแรงเปล่าหรอกหรือ?"

อาจารย์เซน ทางหนึ่งก้มหน้าก้มตาเก็บใบไม้ต่อไป อีกทางหนึ่งก็กล่าวกับลูกศิษย์ว่า
"ใบไม้ไม่เพียงร่วงหล่นลงมาบนลานดินดอก แต่กลับร่วงหล่นลงบนลานในใจของเราท่านตลอดเวลา การเก็บกวาดใบไม้ก็เหมือนการชำระจิตใจ มิอาจปล่อยให้ใบไม้ทับถมจนยากแก้ไข เมื่อหมั่นเก็บกวาดใบไม้ที่อยู่ในใจไปเรื่อยๆ ย่อมเก็บกวาดจนหมดจดได้ในสักวัน..."

[คติธรรม] เป็น "คนเก่ง"...ต้องอย่ากร่าง



ป็น "คนเก่ง"...ต้องอย่ากร่าง
เป็น "คนสอน"...ต้องเตือนตนได้
เป็น "คนรวย"...ต้องไม่เหย่อยิ่ง
จึงจะเรียกว่าเป็น "บัณฑิต" ที่แท้จริง

                              ~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] ตำนาน "ลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด"


ตำนาน "ลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด"...ของชาวมอญ
โดย ~ หลวงพ่ออุตตมะ หรือ พระราชอุดมมงคล (เอหม่อง อุตฺตมรมฺโภ)


"หลวงพ่ออุตตมะ" หรือ พระราชอุดมมงคล (เอหม่อง อุตฺตมรมฺโภ) เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี (ปัจจุบันจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "วัดใต้น้ำ สังขละบุรี") เป็นพระภิกษุชาวพม่าเชื้อสายมอญ ท่านเป็นพระที่ได้ความเคารพเลื่อมใสในหมู่คนไทยเชื้อสายมอญและชาวพุทธทั่วไป เป็นพระนักเดินธุดงคกรรมฐาน ท่านได้เล่าเรื่องราวและจดบันทึกเกี่ยวกับตำนาน "ลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด" ไว้ดังต่อไปนี้...

ในปีพุทธศักราช ๒๒๕...คณะสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาใน "ประเทศอินเดีย" ได้ประชุมตกลงกันเพื่อจัดส่ง...พระอรหันต์เถระ...เดินทางออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ โดยได้มอบหมายให้พระอรหันต์ ๒ รูป คือ "พระโสณเถระ" และ "พระอุตตรเถระ" เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาและนำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มาประดิษฐานในดินแดน "สุวรรณภูมิ" ซึ่งมี "เมืองนครปฐม" ในปัจจุบันเป็นจุดศูนย์กลาง

เมื่อได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว...พระอรหันต์เถระทั้งสองรูป จึงได้ออกเดินทางจาก "เมืองปาฏลีบุตร" ในประเทศอินเดียโดยนำพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย...ครั้นเมื่อเดินทางผ่าน "เมืองสะเทิม" ใน "ประเทศมอญ" พระอรหันต์เถระทั้ง ๒ รูปได้พบกับ พระฤษี ๓ รูป ซึ่งพำนักบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ที่บริเวร "ภูเขาสุทัศน์คีรี" ใกล้เมืองสะเทิมคือ พระฤษีคุปตะ พระฤษีจุลละ และพระฤษีเทวิละ

พระฤษีทั้ง ๓ รูปนี้...เมื่อได้เห็นพระจริยาวัตรและปฏิปทาอันงดงามของพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ก็บังเกิดศรัทธาและความเลื่อมใสชักชวนกันไปกราบไหว้นมัสการและซักถามพระอรหันต์เถระทั้งสองว่า "ท่านเป็นศิษย์ของผู้ใด...ใครคือพระศาสดาของท่าน?"

พระอรหันต์เถระทั้งสองก็ตอบว่า "พระสมณโคดมศากยบุตรอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า...เป็นอาจารย์ของพวกเรา...พระองค์ คือพระศาสดาของพวกเราทั้งหลาย..."

พระฤษีทั้ง ๓ รูป...เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขอร้องให้พระอรหันต์เถระทั้ง ๒ รูป เล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนาให้ฟัง พระอรหันต์เถระทั้งสองก็ได้อธิบายให้พระฤษีทั้ง ๓ รูปฟังโดยละเอียด...

เหล่าพระฤษีเมื่อได้ทราบว่าพระรัตนตรัยได้บังเกิดขึ้นในโลกนี้แล้วก็รู้สึกปิติ ยินดี แต่มีความเสียดายที่ไม่ได้พบเข้าเฝ้าพระพุทธองค์...เพราะทรงเข้า "ปรินิพพาน"ไปนานแล้วถึง ๒๒๕ ปี
จึงซักถามพระอรหันต์เถระทั้งสองต่อไปว่า "พระรัตนตรัยทั้ง ๓ มีคุณเท่าใด?"

พระอรหันต์เถระทั้งสองก็อธิบายให้ฟังว่า

"คุณของพระพุทธเจ้ามีจำนวน ๕๖ ดังบทสวดพระพุทธคุณ (อิติปิโสภควา)
คุณพระธรรมเจ้ามีจำนวน ๓๘ ดังบทสวดพระธรรมคุณ (สวากขาโต)
และคุณพระสังฆเจ้ามีจำนวน ๑๔ ดังบทสวดพระสังฆคุณ (สุปฏิปันโน)
เมื่อรวมกันแล้ว คุณพระศรีรัตนตรัยมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๐๘...ประการโดยย่อ"

พระฤษีทั้ง ๓ รูปได้ซักถามต่อไปว่า "ในกัปของเรานี้จะยังมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่?"

พระอรหันต์ทั้งสองได้อธิบายให้ฟังว่า "ในขณะนี้เราอยู่ในภัทรกัป ซึ่งจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๕ พระองค์...พระสมณโคดมนี้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ในภัทรกัป ดังนั้นในกัปนี้จึงยังเหลือพระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดขึ้นอีกหนึ่งพระองค์ คือ...พระศรีอริยเมตไตรย..."

พระฤษีทั้ง ๓ ขอทราบนามของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ในภัทรกัปนี้ พระอรหันต์เถระทั้งสองจึงแจ้งให้ทราบดั่งพันธคาถาปัฐยาวัตรฉันท์ต่อไปนี้

"นะกาโร กะกุสันโธ จะ โมกาโร โกนาคะมะโน
พุทกาโร กัสสะโป พุทโธ ธากาโร สักยะปุงคะโว
ยะกาโร สิริอะริยะเมตเตยโย ปัญจะพุทธา นะมามิหัง"

เมื่อทั้งสองฝ่ายได้สนทนากันจนเป็นที่พอใจแล้ว พระอรหันต์ทั้งสองก็อำลาพระฤษีทั้งสามออกเดินทางมายังสุวรรณภูมิตามจุดมุ่ง หมายเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป

ฝ่ายพระฤษีทั้งสามได้ปรึกษาหารือกันว่า...แม้เราจักมิได้พบกับพระพุทธองค์ผู้เป็นศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาก็ตามที...เราควรจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อให้น้อมระลึกถึง "คุณแห่งพระรัตนตรัย" ให้เป็นอารมณ์อยู่เสมอ

ในที่สุด...ก็ได้ตกลงกันสร้าง "ลูกประคำ" ขึ้นมาเพื่อใช้ในการ "สวดมนต์ภาวนา" โดยกำหนดให้ลูกประคำมี "จำนวน ๑๐๘ เม็ด" เท่ากับคุณพระศรีรัตนตรัยซึ่งมีโดยย่อจำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๐๘ ประการนั้น...และที่ยอดของสายประคำสำหรับการบริกรรมภาวนา...ได้ใส่ "ลูกประคำ ๓ เม็ด" เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระรัตนตรัย คือ "พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์"


การใช้ "ลุกประคำ ๑๐๘" ในการสร้างสมาธิเพื่อการภาวนา

ในสมัยโบราณพระอริยสงฆ์ของดินแดนลานนาส่วนใหญ่ เช่น "ครูบาศรีวิชัย" ฯลฯ มักจะย่อ "พระคุณของพระรัตนตรัย" ไว้ เพื่อสะดวกแก่การสวดสาธยายโดยจัด พุทธคุณไว้ ๕๖   พระธรรมคุณ ๓๘ และพระสังฆคุณ ๑๔  รวมเป็น  ๑๐๘

วิธีนับนั้นท่านกำหนดให้นับตามอักษร 

"พุทธคุณ ๕๖"...เริ่มตั้งแต่  "อิ  ติ  ปิ  โส  ภะ  คะ  วา  อะ  ระ  หัง  สัม  มา  สัม  พุท   โธ  วิช  ชา  จะ ระ  สัม  ปัน  โน  สุ  คะ  โต  โล  กะ  วิ  ทู  อะ  นุต  ตะ  โร  ปุ  ริ  สัท  ธัม  มะ  สา  ระ  ถิ  สัต  ถา  เท  วะ  มะ  นุส  สา  นัง  พุท  โธ  ภะ  คะ  วา   ติ"...นับรวมได้ ๕๖ คำ นี่คือ "พุทธคุณ ๕๖" 

"พระธรรมคุณ ๓๘"...นับเริ่มตั้งแต่  "สฺวาก  ขา  โต  ภะ  คะ  วะ  ตา  ธัม  โม  สัน  ทิฏ  ฐิ  โก  อะ  กา  ลิ  โก  เอ  หิ  ปัส  สิ  โก  โอ  ปะ  นะ  ยิ โก  ปัจ  จัต  ตัง  เว  ทิ  ตัพ  โพ  วิญ  ญู  หี  ติ"...นับรวมได้ ๓๘  คำ นี่คือ "พระธรรมคุณ ๓๘"

ส่วน "พระสังฆคุณ ๑๔" นั้นท่านกำหนดให้ท่องนับท่อนเดียวคือ "สุ ปะ  ฏิ  ปัน  โน  ภะ  คะ  วะ  โต  สา  วะ  กะ  สัง  โฆ"...นับรวมได้ ๑๔ คำ นี่คือ "พระสังฆคุณ ๑๔"

รวมพุทธคุณ ๕๖ พระธรรมคุณ ๓๘ พระสังฆคุณ ๑๔...นี่แหละคือ...ที่มาของ "ลูกประคำ ๑๐๘"...เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้แล...นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ...

 

[นิทานเซน] เรื่อง “คนตาบอดถือโคมไฟ”


นิทานเซน...เรื่อง “คนตาบอดถือโคมไฟ”


ยังมีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย" เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

คนตาบอดตอบว่า "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์"

มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง"

"ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

คนตาบอดอธิบายว่า W"เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตังแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย"

ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้

[คติธรรม] ยิ่งสูงส่ง...ต้องยิ่งอ่อนน้อม



ยิ่งสูงส่ง...ต้องยิ่งอ่อนน้อม
ยิ่งต่ำต้อย...ต้องยิ่งเจียมตัว
ยิ่งร่ำรวย...ต้องยิ่งรู้จักให้
ยิ่งยากจน...ต้องยิ่งรู้จักพอเพียง

                         ~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] ครูบาชัยวงศา...จาก "เด็กขอทาน" สู่ "พระอริยสงฆ์ในดงกะเหรี่ยง"



ครูบาชัยวงศา...จาก "เด็กขอทาน" สู่ "พระอริยสงฆ์ในดงกะเหรี่ยง"


อดีตในวัยเยาว์ของ "ครูบาชัยวงศา" ท่านเกิดในครอบครัวชาวไร่ชาวนายากจนเคย "ขอทาน" เพื่อหาเงินเลี้ยงดูโยมบิดามารดาและน้องอีก ๙ คน พอโตขึ้นมาก็ถูกเพื่อนลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง...เอาน้ำรักใส่ที่นอน จนหลังเน่าเปื่อยทนทุกข์เวทนาอย่างสาหัส... เมื่อเรียนหนังสือก็ถูกครูใช้สันขวานเคาะศีรษะและทุบตีจนเนื้อแตก...ในยามนอนก็ถูกเพื่อนเอาทรายกรอกปาก เอาน้ำราดหัว เอากระโถนน้ำมูตรคูถมาวางตรงหน้าขณะกินข้าว...

เมื่อครั้งที่ครูบาชัยวงศายังเป็นสามเณรน้อยได้เดินธุดงค์มากับครูบาก๋า มาพบ "วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม" สามเณรน้อย (ครูบาชัยวงศา) ได้เคยถามครูบาก๋าถึงการปฎิสังขรณ์วัดนี้ ได้รับคำตอบว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของท่านเอง" และได้ชี้มือไปที่ตัวสามเณร (ครูบาชัยวงศา) แล้วบอกว่า "ต่อไปเณรน้อยจะได้มาเป็นผู้สร้างวัดนี้"

ซึ่งเรื่องนี้ได้ไปตรงกับข้อมูลที่ได้จากคำพูดของ "ครูบาศรีวิชัย" เช่นกัน...เมื่อครั้งที่ได้มีชาวบ้านไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยให้มาบูรณะวัดนี้ ท่านก็ได้ปฏิเสธกับชาวบ้านว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เป็นหน้าที่ของครูบาชัยวงศา" จึงแนะให้ชาวบ้านไปนิมนต์มาซึ่งขณะนั้นครูบาชัยวงศายังเป็นสามเณรอยู่

ครูบาชัยวงศาท่านเป็น "พระพุทธเจ้าน้อยของชาวกะเหรี่ยง" เมื่อครั้งที่ชาวบ้านได้ขุดพบศิลาจารึก ที่มีตัวอักษรล้านนาไทยเขียนไว้ด้วยประโยคสั้นๆว่า "ผู้ที่จะสร้างวัดนี้คือพระพุทธเจ้าน้อย ซึ่งจะเริ่มมาสร้างปี.... ตอนนี้อยู่ที่.... เกิดที่.... จะเป็นผู้มาสร้าง" ซึ่งก็เป็นความจริงตามในศิลาจารึกแผ่นนั้นทุกประการ...ขณะนั้นครูบาชัยวงศาได้รับการยกย่องจากชาวเขา ให้เป็นพระพุทธเจ้าน้อยอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่สถานที่อยู่ สถานที่เกิด ก็ตรงกับทิศทางที่ศิลาจารึกบอกทุกประการ...ด้วยเหตุนี้บรรดาชาวบ้าน ตลอดจนนายอำเภอจึงไปนิมนต์ครูบาชัยวงศามาสร้างและบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มตั้งแต่นั้นมา

พระผู้เป็นที่พึ่งของ "ชาวกะเหรี่ยง"

ครูบาชัยวงศาได้มาจำพรรษาที่วัดพระบาทห้วยต้ม เมื่อมีอายุได้ ๓๓ ปี ระยะแรกที่มาอยู่ บรรดากะเหรี่ยงได้ติดตามท่านมาไม่มากนัก จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔ บรรดากะเหรี่ยงทั้งหมดจึงพากันอพยพมาอยู่เป็นหมู่บ้านถึง ๖๐๐ หลังคาเรือน ๓,๐๐๐ กว่าคน ทุกคนกินอาหารมังสวิรัติ ตามครูบาชัยวงศา ซึ่งได้ชี้ให้เห็นโทษการกินเนื้อสัตว์ หันมากินข้าวเหนียวจิ้มพริกกับเกลือและผักต้มแทน แต่เดิมชาวเขาเหล่านี้ไม่เคยเห็นพระสงฆ์ ต่างกลัวกันมากเมื่อเห็นครูบาชัยวงศาเดินมา ต่างรีบอุ้มลูกจูงหลานหนีเข้าบ้าน

พวกผู้ชายที่ใจกล้าก็เข้ามาพูดคุยกับท่านมาซักถาม บ้างก็เอามือลูบหัวท่านเล่น แล้วเรียกท่านว่า "เสี่ยว" เพราะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธจึงไม่รู้จักพระสงฆ์

ต่อมา ครูบาชัยวงศาได้ใช้กุศโลบาย ค่อยๆ ตะล่อมสอนชาวเขาเหล่านี้ ให้เลิกยึดถือประเพณีบูชาผีสางนางไม้ ให้หันมาเลื่อมใสในข้อธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยปูพื้นและวางหลักเกณฑ์ในการยึดถือพระพุทธศาสนาให้ถึงแก่นและกระพี้

ให้เลิกละการเบียดเบียนรังแกสัตว์ เพียงเพื่อสนองความสุขของตัว ชาวเขาถามครูบาชัยวงศาว่า โกนหัวและห่มผ้าเหลืองทำไม ท่านได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า ท่านเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกชำระจิตใจ ไม่เบียดเบียนผู้ใด จึงต้องนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ปฏิบัติตัวอยู่ในพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด


พระผู้ทำให้ชาวกะเหรี่ยงกินอาหาร "มังสวิรัติ" ทั้งหมู่บ้าน

ชาวเขาได้ฟังคำสั่งสอนของครูบาชัยวงศาก็ศรัทธาเลื่อมใส ต่างพากันนำอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์มาถวาย ครูบาชัยวงศาก็หยิบเฉพาะผักฉันโดยไม่หยิบเนื้อสัตว์เลย ชาวเขาสงสัยจึงถาม ท่านครูบาชัยวงศาจึงถือโอกาสสั่งสอน ให้ชาวเขาสำนึกในกฎแห่งกรรม สำนึกในความมีเมตตาต่อสัตว์โลกว่า

"...ทุกคนย่อมรักตัวกลัวตาย สัตว์ที่เราล่ามาทำอาหาร ก็มีความกลัวตาย ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์ ก็จะไม่มีการฆ่า ไม่มีการเบียดเบียนให้เป็นกรรมติดตัวไป...ที่เกิดมาเป็นชาวเขา ต้องพบความลำบากก็เนื่องจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนี่แหละจงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยการกินเนื้อเขาอีกเลย..."

ชาวเขาฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ตั้งใจมั่นเลิกกินเนื้อสัตว์ แต่นั้นมาหันมากินอาหารมังสวิรัติแทน โดยหาผักหาหญ้า หัวเผือกหัวมัน พริกกับเกลือแทนเนื้อสัตว์ จนเป็นที่โจษขานกันทั่วไป ถึงความสามารถของครูบาชัยวงศาในการขัดเกลาจิตใจชาวเขาเหล่านี้ ซึ่งแต่เดิมชอบประพฤติตัวเกเร ชอบกินเหล้าอาละวาด สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติอย่างมาก

นับเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลอย่างมหาศาล เนื่องจากชาวเขาเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อย ที่สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองตลอดมา ในการตกเป็นเครื่องมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่คอยซุ่มโจมตีทหารรัฐบาลในป่าลึก

ครูบาชัยวงศาได้ให้เหตุผลที่จะดึง และโน้มน้าวจิตใจชาวเขาเหล่านี้ว่า "ผู้ที่เกิดมาเป็นชาวเขานั้น แต่ชาติปางก่อนได้สร้างกุศลมาไม่ดี จึงต้องเกิดมาเป็นชาวเขา ถ้าทำให้เขาละการสร้างเวรให้กับตัวเขาก็จะได้กุศลที่ดีเป็นคนดีของประเทศชาติ ไม่มีปัญหาต่อชาติต่อไป..."

ด้วยขันติบารมีการวางเฉย ด้วยใจที่ให้อภัยต่อสัตว์โลก ครูบาชัยวงศา จึงได้รับการยกย่องจากชาวเขาเผ่าต่างๆ ให้เป็น ครูบา ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง และด้วยอำนาจความเพียรพยายามทางจิต ท่านครูบาชัยวงศา คือผู้หนึ่งที่เทพยดาฟ้าดินให้ความเมตตาอภิบาลรักษาคุ้มครองป้องกันเพื่อให้ท่านได้กระทำความดี สร้างบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า นั่นคือแทนแห่งพุทธภูมิ...




เป็นกำลังสำคัญสร้างทางขึ้น "ดอยสุเทพ"

ครูบาชัยวงศาได้ไปร่วมแรงร่วมใจกับครูบาขาวปี ช่วยครูบาศรีวิชัยทำงานในด้านต่างๆ ทั้งงานศาสนาและงานสาธารณประโยชน์ ทั้งที่ได้รับอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะอุปสรรคในการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพร่วมกับครูบาศรีวิชัย โดยครูบาชัยวงศาและครูบาขาวปี เป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมในการสร้างทางคนละครึ่ง ครูบาขาวปีรับผิดชอบควบคุมช่วงล่างตั้งแต่วัดศรีโสดาถึงวัดสกิทาคามี (วัดนี้ถูกรื้อไปแล้ว) ส่วนครูบาชัยวงศารับช่วงตั้งแต่วัดสกิทาคามี และสร้างวัดอนาคามี (ซึ่งขณะนี้ทรุดโทรมและถูกรื้อไปแล้ว) ไปจนถึงทางขึ้นดอยสุเทพ

ในขณะสร้างทางได้รับความลำบากทุกข์เวทนาอย่างสาหัส เนื่องจากถูกกลั่นแกล้งจากตำรวจหลวงและพระสงฆ์ที่ไม่เข้าใจในเจตนามุ่งมั่นอันแท้จริงของครูบาศรีวิชัย คอยจับสึกอยู่เสมอ การดำเนินการก่อสร้างจึงต้องลงมือเมื่อพระอาทิตย์ล่วงลับไปเสียก่อน และต้องหาที่หลบซ่อนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าของวันใหม่ งานสร้างทางตอนเริ่มแรกมีชาวบ้านมาช่วยงานไม่มากเท่าไร แต่นานไปก็ได้มีพวกชาวกะเหรี่ยงและชาวบ้านในหลายตำบล หลายหมู่บ้าน พากันมาลงแรงร่วมใจอย่างมากมาย ด้วยความศรัทธาและเต็มใจ จนในที่สุดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพก็สำเร็จลุล่วงได้



ออกธุดงค์ในป่าลึก "บิณฑบาตข้าวเทวดา"

การออกธุดงค์ส่วนใหญ่จะเป็นป่าลึกปราศจากผู้คน จึงไม่มีใครมาใส่บาตร มีแต่ผีป่านางไม้เท่านั้นที่ลงมาใส่บาตร เรื่องนี้เป็นคำบอกเล่าของครูบาชัยวงศา ที่เคยเล่าไว้กับลูกศิษย์ของท่านว่า

"...การอยู่ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยอมนุษย์และสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ การบำเพ็ญเพียรทางจิตให้กล้าแข็งเต็มไปด้วย พลังเมตตาต่อสัตว์โลกแล้วจะไม่อดตาย เพราะผีป่านางไม้จะนำเอาอาหารทิพย์มาให้และอภิบาลรักษา ครั้งหนึ่งขณะที่ครูบาชัยวงศากำลังทำความเพียรทางจิต ไม่มีเวลาไปหาพืชป่ามาฉัน ท่านจึงนำบาตรเปล่าไปตั้งไว้ที่โคนต้นไม้ จากนั้นได้มานั่งภาวนาพิจารณาธรรมต่อไปจนออกจากสมาธิ เมื่อได้เวลาฉันเพล เมื่อท่านได้เดินไปที่บาตร ปรากฏมีข้าวสีเหลืองมีกลิ่นหอมเต็มอยู่ในบาตร บางวันก็มีดอกไม้ป่าใส่มาด้วย..."

บ่อบครั้งที่ครูบาชัยวงศาต้องออกธุดงค์ไปถึงเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ เวลานั่งบำเพ็ญเพียรทางจิต ต้องก่อไฟไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น มีอยู่ครั้งหนึ่งไฟที่ก่อได้ลุกลามมาติดจีวร ตั้งแต่ชายจีวรจนถึงหน้าอกแล้วท่านยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งออกจากสมาธิ จึงได้พบว่าเปลวไฟกำลังเลียเนื้อหนังของท่านอยู่

ขณะที่มาปกครองวัดพระบาทห้วยต้มในระยะแรกๆ ครูบาชัยวงศาก็ยังออกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งที่หนทางก็กันดารลำบากยากเข็ญ ต้องผจญกับไข้ป่าและธรรมชาติ เครื่องอัฐบริขารก็มีไม่ครบ เวลาเจอพายุฝนก็ต้องภาวนากันใต้ต้นไม้ใหญ่ นั่งตากพายุจนเปียกปอนอยู่เสมอ การผจญกับความลำบากเป็นเสมือนหนึ่งหินลับมีด ยิ่งลำบากเท่าไร ก็เท่ากับได้มีโอกาสลับมีดให้คม พร้อมที่จะเชือดเฉือนสรรพสิ่งได้ทันท่วงทีฉันนั้น "ครูบาชัยวงศา" ท่านเป็นยอดแห่งความอดทนมาตั้งแต่เล็ก ยากที่จะหาใครเทียบเท่าได้...


[คติธรรม] "นักโทษ" แห่งสังสารวัฏ



เราทุกคนคือ "นักโทษประหาร" ของวัฏฏสงสาร
เพราะเมื่อเกิดมาแล้วก็ "ต้องตาย" กันทุกคน
เราทุกคนต้อง "ติดคุก" ด้วยกฎแห่งกรรมไม่จบสิ้น
เพราะไม่มีใคร "หนีพ้น" ผลของบาปกรรมทุกชนิดได้
เมื่อเราได้รู้ชัดใน "อริยสัจ ๔" เราจะหาทาง "หลุดพ้น"
"มรรค ๘" คือหนทางเอก...หนทางเดียวเท่านั้น
ที่จะนำพาให้เรา "หลุดพ้น" จากโทษทั้งปวงแห่งสังสารวัฏ

                                                   ~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[คติธรรม] ผู้มี "บุญบารมี"



"รักษาจิต"...ให้คิดแต่กุศล
"รักษาใจ"...ให้ผ่องใสเสมอ
"ละโลภ"...เพื่อสร้างทรัพย์
"ละโกรธ"...เพื่อสร้างมิตร
"ละหลง"...เพื่อทิ้งอบาย
นี้คือทางของผู้มี "บุญบารมี"

                      ~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] หลวงปู่มั่น เล่าว่า "ครูบาศรีวิชัย...ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว"



หลวงปู่มั่น...เล่าว่า "ครูบาศรีวิชัย...ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว"
บันทึกโดย พระธรรมดิลก วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์ใหญ่แห่งสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้เคยพำนักอยู่วัดเจดีย์หลวงร่วมสมัยกับกับพระเดชพระคุณพระอุบาลี (จันทร์) ระหว่าง 2472-2474

ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ "ครูบาศรีวิชัย" พระนักบุญแห่งล้านนาไทย...ขึ้นมาพำนักอยู่ที่วัดสวนดอก เมืองเชียงใหม่เพื่อฟื้นฟู บูรณะวัดวาอารามพระธาตุเจดีย์ ปูชนียสถานต่างๆในเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพด้วย

พระครูบาศรีวิชัย...แม้องค์ท่านจะไม่มีฐานันดรสมณศักดิ์ แต่ท่านก็เป็นพระมหาเถระสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรม และวัตรปฏิบัติอันประเสริฐยิ่ง มีบารมีสูงสุด จนคนเหนือยกย่องให้เป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญแห่งล้านนาไทย" พระครูบาศรีวิชัยได้เข้ามากราบนมัสการท่านเจ้าคุณอุบาลี วัดเจดีย์หลวงถึง 2 ครั้ง และพระเดชพระคุณก็มีโอกาสไปเยี่ยมพระครูบาศรีวิชัยเป็นการตอบแทน ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับกรุงเทพ

ส่วนพระอาจารย์มั่นนั้น เคยพบและสนทนาธรรมกับพระครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อภายหลังจากที่ครูบาเจ้าศรีวิไชยพ้นจากอธิกรณ์แล้ว 

ท่านอาจารย์มั่นเคยออกปากชวนพระครูบาศรีวิชัยออกมาปฏิบัติกัมมัฏฐานด้วยกัน แต่พระครูบาศรีวิชัยปฏิเสธโดยกล่าวว่า "ท่านได้บำเพ็ญบารมีมาทางพระโพธิสัตว์ และได้รับการพยากรณ์แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

ต่อมาพระเดชพระคุณพระคุณพระอุบาลี... สนใจใคร่รู้ถึงภูมิธรรมและปฏิปทาตามวิถีทางที่พระครูบาศรีวิชัยดำเนินอยู่ จึงได้สอบถามพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านได้กราบเรียนพระเดชพระคุณให้ทราบว่า

"พระศรีวิชัยองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขณะนี้กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมีอยู่ ซึ่งต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกนาน จนกว่าการสั่งสมบารมีธรรมจะบริบูรณ์"

ส่วนหลวงปู่มั่นเองตามประวัติที่เขียนโดย หลวงตามหาบัว ท่านกล่าวว่า "หลวงปู่มั่น" ในช่วงปฏิบัติช่วงหนึ่งเกิดติดขัด ไปต่อไม่ได้ จิตอาลัยอาวร กล่าวคือท่านก็ "ปรารถนาพุทธภูมิ" เช่นกัน แต่ท่านอธิฐานละพุทธภูมินั้นเสียและขอรวมบารมีที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วนั้นถ้าเต็มบารมีสาวกภูมิก็ขอให้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ (เพราะท่านเจริญสมาธิจนรู้ได้ ว่าท่านเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ 500 ชาติ เกิดสลดสังเวช ไม่อยากเกิดอีกแล้ว)

หลังจากอธิษฐานละแล้วการปฏิบัติก็ก้าวหน้าเป็นลำดับ ท่านหลวงตามหาบัวได้แสดงความเห็นแทรกไว้ว่าการที่ท่านละได้นั้นเพราะความปราถนาท่านยังไม่ถึงขั้นพุทธทำนาย จึงยังมีโอกาสละและประมวลบารมีทั้งหมดให้มามีผลในปัจจุบันได้

เมื่อสำเร็จ "สาวกภูมิ" ในชาตินี้แล้วความรู้อันเป็นของพุทธภูมิหรืออุปนิสัยความสามารถในทางพุทธภูมิ คือการถ่ายทอดสอนคนอื่นต่อจึงมีความสามารถมาก รู้แยกแยะสอนสั่งผู้อื่นได้ชำนาญ




"หลวงปู่มั่น" พูดถึง "ครูบาศรีวิชัย"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (พระธรรมวิสุทธิมงคล) ท่านได้เชียนไว้ในหนังสือ "ชาติสุดท้าย เพชรน้ำหนึ่งในวงการกรรมฐาน" โดยมีข้อความว่า "หลวงปู่มั่น" ท่านพูดชมเชยสรรเสริญ "ครูบาศรีวิชัย" ท่านพูดด้วยความเคารพจริง ๆ นะ เราดูอากัปกิริยาของท่าน พูดด้วยความสนิทสนมในจิตในใจ ท่านพูดด้วยความเคารพจริง ๆ ท่านว่า "ครูบาศรีวิชัย...ท่านนั่งได้นะทั้งวัน เขาเอาอันนั้นมาถวาย อันนี้มาถวาย เพราะทำทางขึ้นดอยสุเทพ คนแถวนั้นมาหมดเลย ครูบาศรีวิชัยท่านเป็นตัวประธาน เป็นองค์ประธานนะ เขาเอาอันนั้นมาถวายอันนี้มาถวาย ท่านให้พรทั้งวัน ท่านว่า อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ ตาไม่ลืม เฉพาะให้พรโยม อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ หมดทั้งวัน"

นี่ท่านก็มาสรุปนะ...เราก็อัศจรรย์ท่าน ท่านทนจริง ๆ ถ้าอย่างเราไม่ได้ เผ่นเลย หมดวัน พอตื่นขึ้นมาคนเต็มเลย ค่ำก็ยังไม่หนี ทั้งวัน อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ อยู่นั่น เราก็เลยไม่ลืม ก็ท่านพูดเอง เวลาพูดไปสัมผัสถึง "ครูบาศรีวิชัย" ท่านสนิทสนมกันมากนะ  ครูบาศรีวิชัยกับหลวงปู่มั่นเรา ดูเวลาท่านพูดให้ฟัง

"โอ๊ย! จึงรู้ว่าท่านสนิทสนมกันมาก" ทีนี้เวลาท่านพูดท่านก็พูดด้วยความสนิทจริง ๆ พูดด้วยความเลื่อมใส...

[นิทานเซน] เรื่อง “สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น”



นิทานเซน...เรื่อง “สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น”


“เรือท่องเที่ยวลำหนึ่งประสบภัยพิบัติทางทะเล บนเรือมีสามีภรรยาคู่หนึ่งรอคอยความช่วยเหลือจากเรือกู้ชีพด้วยความยากลำบาก แต่แล้วบนเรือกู้ชีพเหลือที่นั่งเพียงหนึ่งที่เท่านั้น ฝ่ายชายดึงภรรยาให้ถอยไปด้านหลังแล้วตัวเองกระโดดขึ้นบนเรือกู้ชีพ ฝ่ายหญิงยืนอยู่บนเรือลำใหญ่ที่ค่อยๆ จมลงๆ เธอตะโกนไปที่ฝ่ายชายเพียงคำเดียวว่า......”

เล่ามาถึงตรงนี้ ครูถามนักเรียนว่า “ให้นักเรียนทายดูซิว่าฝ่ายหญิงตะโกนพูดว่าอะไร”

นักเรียนทั้งหลายพูดอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่โกรธเคืองว่า “ที่ผ่านมาฉันตาบอด ฉันเกลียดคุณ”

ขณะนั้นครูสังเกตเห็นนักเรียนคนหนึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอด จึงบอกให้เขาตอบคำถามดูบ้าง นักเรียนผู้นั้นตอบว่า “คุณครูครับ ผมคิดว่าหญิงผู้นั้นคงตะโกนบอกให้ดูแลลูกของเราด้วย”
ครูถามด้วยความตกใจว่า “เธอเคยฟังนิทานเรื่องนี้มาแล้วหรือ”

นักเรียนส่ายศีรษะ “เปล่าครับ แต่คุณแม่ของผมก่อนที่ท่านจะสิ้นใจก็พูดคำพูดเช่นนี้กับคุณพ่อครับ”

ครูถอนหายใจพูดว่า “คำตอบถูกต้อง”

เรือท่องเที่ยวจมลงสู่ทะเลลึก ฝ่ายชายกลับมายังบ้านเกิดและเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพังจนเติบใหญ่ จากนั้นอีกหลายปี ฝ่ายชายป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุด

ขณะที่ลูกสาวจัดการกับมรดกของพ่อได้พบสมุดบันทึกของพ่อ ที่แท้ช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ท่องบนเรือสำราญอยู่นั้น แม่ก็ได้ป่วยเป็นมะเร็งอยู่ก่อนแล้ว

พ่อต้องช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เขาเขียนในบันทึกว่า
“ผมอยากจะจมลงใต้ทะเลพร้อมกับคุณ แต่ผมทำไม่ได้ เพื่อลูกสาวของเรา ผมได้แต่ให้คุณนอนหลับชั่วนิรันดรใต้ทะเลตามลำพัง”

นิทานจบลง ทั้งห้องเรียนจมอยู่ในความเงียบ ครูรู้ว่านักเรียนได้เข้าใจในนิทานเรื่องนี้แล้ว 

ความชั่วความดีในโลก บางครั้งสลับซับซ้อนยากแก่การแยกแยะ

[คติธรรม] ไม่มีใครดี...ไปทุกสิ่ง



ไม่มีใครดี...ไปทุกสิ่ง
ไม่มีใครเลว...ไปทุกอย่าง
จงเลือกมองแต่ "ความดี" ของเขา
เขาจะทำ "ความเลว" ก็เรื่องของเขา
ไม่ใช่เรื่องของเรา...ไม่ใช่ "สมบัติ" ของเรา
ไม่ต้องเอามาคิด เอามาพูด เอามาใส่ใจ
ให้กลายเป็น "บาปอกุศล" ของเรา
คนเช่นนี้...จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคน "มีปัญญา"

~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] ทำไมเวลาทำบุญต้อง "กรวดน้ำ" อุทิศส่วนกุศล?


ทำไมเวลาทำบุญต้อง "กรวดน้ำ" อุทิศส่วนกุศล?

โดย...พระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตชีโว) วัดพระธรรมกาย


คำถาม ~ ทำไมเวลาทำบุญต้องกรวดน้ำ? ธรรมเนียมการกรวดน้ำมีที่มาที่ไปอย่างไร? ถ้าลืมกรวดน้ำจะมีผลอย่างไร?

คำตอบ ~ ประเพณีกรวดน้ำเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน "พระเจ้าพิมพิสาร" ผู้สร้างวัดแรกในพระพุทธศาสนา ให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติในอดีตชาติ ที่ละโลกแล้ว ไปเกิดเป็นเปรต และมารอรับส่วนบุญอยู่นานเป็นพุทธันดร

แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารระลึกชาติไม่ได้...จึงไม่ทรงทราบว่าญาติของพระองค์ในอดีตชาติ ไปเกิดเป็นเปรต และไม่ทรงทราบว่า เขามารอรับส่วนบุญส่วนกุศลอยู่นานเป็นพุทธันดรแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาพระองค์ทำบุญก็เลยไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้ ญาติที่เป็นเปรตก็เลยยังเป็นเปรตต่อไป
          
ญาติเหล่านั้นเป็นทุกข์หนัก ก็เลยปรากฏตัวให้เห็นว่า ตัวเองเป็นเปรต ส่งเสียงร้องโหยหวน อยู่ในวัง พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นเข้า ก็รีบเสด็จไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทำไมมีเปรตมาร้องลั่นอยู่เต็มวัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงเล่าเรื่องหนหลังให้ฟังว่า ...

"เปรตเหล่านี้คือ...ญาติในอดีตชาติของพระเจ้าพิมพิสาร ในอดีตชาติพระเจ้าพิมพิสารทำบุญทำทาน ตั้งโรงทานเลี้ยงพระ เลี้ยงมหาชน แต่ว่าญาติเหล่านี้ไม่มีกุศลศรัทธา เลยยักยอกเอาของที่จะถวายสงฆ์ไปใช้ไปกินเป็นของตัว ละโลกไปแล้วเลยต้องไปเกิดเป็นเปรต"
         
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พระเจ้าพิมพิสาร ทำบุญเลี้ยงพระ แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญ ส่งให้กับเปรตเหล่านั้น พวกเปรตเหล่านั้นพอได้รับส่วนบุญส่วนกุศลเท่านั้น ก็กลายสภาพไปเป็นเทวดาด้วยอำนาจบุญ
         
ถ้าทำบุญแล้วไม่อุทิศส่วนกุศล ตัวเองจะได้บุญหรือเปล่า? 

ก็ต้องบอกว่าจะกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ อย่างไร ๆ เราก็ได้บุญของเราอยู่แล้ว แต่ถ้ากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ... ก็จะทำให้เขาพลอยได้รับส่วนบุญส่วนกุศลไปด้วย แล้วก็พลอยเป็นสุขเช่นเดียวกับเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
         
เวลาเราอุทิศส่วนกุศลด้วยการกรวดน้ำ ให้ทำอุปมาในใจว่า "สายน้ำที่รินลงไปนั้นก็เหมือนสายบุญ"

เมื่อเราอุปมาในใจอย่างนั้นแล้ว บุญเราไม่พร่องไปหมดหรือ? 

ยุคนี้เศรษฐกิจรัดตัว กว่าจะได้เงินมาทำบุญก็ยาก แล้วเที่ยวไปอุทิศให้ใครต่อใครไปทั่ว บุญเราจะไม่หมดหรือ? ขอตอบว่า "ไม่หมด"
        
ทำไมไม่หมด? ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า ถ้าเราปลูกกล้วยไม้กระถางหนึ่ง กล้วยไม้นี้พอถึงเวลาก็ออกดอกสวยงาม กลิ่นก็หอม แทนที่เราจะเอาไว้ดมคนเดียว ดูคนเดียว เอาไว้ในห้องนอนของเราเพียงลำพัง เราก็เอาไปตั้งกลางห้องรับแขก แล้วก็ชักชวนพรรคพวก เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย มาดูกล้วยไม้สวย ๆ ของเรา แล้วมาช่วยกันดมความหอมนี้
         
ชวนเขามาตั้ง ๑๐ คน ๒๐ คน พอเขามาแล้ว เขาเห็นความสวยของกล้วยไม้เขาก็ชื่นใจทุกคน พอได้กลิ่นเขาก็หอมด้วยกันทุกคน ถามว่าญาติทั้ง ๑๐ คน ๒๐ คน มาชม มาดม กล้วยไม้ ของเราแล้ว ทำให้กล้วยไม้ของเราลดความสวยลงไปไหม? ไม่ลด ลดความหอมลงไปไหม? ไม่ลด
         
บุญที่เราอุทิศให้กับญาติของเราก็ไม่ได้พร่องไปเหมือนกัน พอญาติได้รับบุญที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น ชื่นใจขึ้นมาเลย ความทุกข์คลายลงไป พอความทุกข์คลาย ก็นึกถึงความดี นึกถึง บุญในอดีตที่ตัวสร้างไว้ได้ พอนึกได้เท่านั้น บุญเก่ามาบรรจบกับบุญใหม่ที่เราอุทิศส่วนกุศลไปให้ สภาพเปรตหลุดไปเลย เกิดใหม่กลายเป็นเทวดานางฟ้าไปเลย
         
ถ้าจะว่าไปแล้ว การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเป็นเรื่องของคนใจใหญ่ คนมีจิตใจ เมตตากรุณา เพราะฉะนั้นปู่ย่าตาทวดถึงไม่ยอมพลาด ไหน ๆ ก็ได้บุญใหญ่แล้ว ทำไมไม่ทำใจให้ใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก ว่าแล้วก็คว้าขันน้ำกรวดน้ำกันไปเลย
         
"...ทำบุญทุกครั้ง กรวดน้ำให้ได้ทุกครั้ง ถ้าหาน้ำไม่ได้ ก็ทำใจให้นิ่ง ให้ใส ถ้าทั้งใส ทั้งสว่าง จนกระทั่งเห็นสายบุญ อย่างนั้นไม่ต้องใช้น้ำเลย สายบุญนี้จะตรงดิ่งไปหาผู้ที่เราต้องการให้ถึง อย่างนั้นไม่ต้องใช้น้ำในคนโทแล้ว" น้ำใจที่งาม ๆ ส่งถึงกันเลย เหมือนต่อเทียน ต่อไฟ ถึงเลย ทำไปเถิด ดีจริง ๆ...

[คติธรรม] "ศีล"...เป็นที่มาแห่ง "โภคทรัพย์"



"ศีล" ที่สำคัญสูงสุดของปุถุชน...คือ "ศีล ๕"
เพราะ "ศีล"...เป็นทางมาแห่ง "ความสงบสุข"
เพราะ "ศีล"...เป็นที่มาแห่ง "โภคทรัพย์" ทั้งปวง
เพราะ "ศีล"...เป็นหนทางสู่การเข้าถึง "พระนิพพาน"
ด้วยเหตุนี้...จึงต้องประพฤติปฏิบัติรักษา "ศีล" อยู่เสมอ
ให้มั่นคงด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ "สุคติ" จะเป็นที่ไป

                            ~ ธัมมวิชชา ภิกษุณี ~

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[เรื่องนี้ต้องอ่าน] "เจ้ากรรมนายเวร" โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ



"เจ้ากรรมนายเวร"
โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

คำถามของญาติโยม ~ หลวงพ่อครับ คำว่าเจ้ากรรมนายเวรนี่หมายถึงใครบ้างครับ...?

"เจ้ากรรมนายเวรนี่..."ตัวตน" มันไม่มีหรอก"....มันเป็นเรื่องของกรรมที่เป็น "อกุศลกรรม" ที่เราทำไว้ ตัวจริงที่เราเคยทำเขาไม่มายุ่งกับเราหรอก อย่างเราฆ่าปลาตาย ปลาเขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่ปรากฏของกรรมมันเล่นงานเรา ถ้าปลานั่งจองเวรคอยลงโทษเราแกก็ไม่ต้องไปเกิดล่ะ

"เจ้ากรรมนายเวร" หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจ แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม
ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย

คำว่า "เจ้ากรรมนายเวร" นี่นะ ถ้าพูดตามส่วนตัวจะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้าหากเราฝึกขั้น "สุกขวิปัสสโก" เราจะบอกว่าไม่มีตัว เพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ "เตวิชโช" ขึ้นไปเขาเห็น ต้องพูดตามขั้นนะ ถ้าเราว่ากันตามหนังสือก็คิดว่าจะไม่มี

คำถามของญาติโยม ~ แล้วถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะได้รับไมคะ...?

คือว่าอุทิศส่งไปให้เขาจะได้รับหรือไม่ได้ก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราทำไปแล้ว เราไปยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีมีกำลังเหนือมันก็กวดไม่ทันเหมือนกัน...

นายเวร...ตัวอย่างเรื่องมันมีอยู่ให้ได้ศึกษา...

อย่างพระถูกหอกตาย เรื่องนี้มีอยู่ในพระสูตร คือว่ามันมีอยู่ว่าพระองค์ ท่านกำลังเย็บจีวร เย็บไปๆ ไอ้ตัวเรือดมันอยู่ในตะเข็บจีวร ท่านไม่เห็น เข็มก็ไปทิ่มเรือดตาย อย่างนี้ถือว่าเป็นบาปลงนรกไม่ได้ เพราะเจตนาไม่มี ไม่รู้ว่าอยู่ ใช่ไหม?

แต่ก็เป็นบังเอิญเมื่อต่างคนต่างตาย เจ้าเรือดก็ตายไปก่อน พระก็อยู่นานไม่ได้หรอกนะ ไปเกิดชาติหลังเป็นคนด้วยกันทั้งคู่ เจ้าเรือดไปเกิดเป็นนายพรานป่าฆ่าเนื้อ พระก็ไปเกิดเป็นคน แต่ว่าบวชพระ

ต่อมาวันหนึ่ง...พระเดินสวนทางมาเจอนายพราน เห็นพรานถือหอกเกาะกะ ๆ ท่านก็นึกหวาดเสียว ดีไม่ดีแกบ้า ๆ บวม ๆ จิ้มตาย ใช่ไหม ก็เลยหลบเข้าพุ่มไม้...พรานแกฆ่าสัตว์ก็จริงแต่จิตแกก็ดี ถือว่าพระเป็นพระ แกเดินมาเข้าไปนึก เอ๊ะ...พระนี่น่าจะสวนกับเราตอนนี้ เวลานี้ท่านไปไหน หรือบางทีท่านเห็นเราถือหอกเดินมาท่านจะกลัวเรามั้ง ไอ้หอกจัญไร พุ่งไว้ตรงนี้ก่อน เลยพุ่งหอกเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วเดินไปมือเปล่าไป ไอ้หอกระยำดันจิ้มมาที่อกพระพอดี...นี่ไอ้นี่จะถือว่าเป็นกรรมไม่ได้ ต้องถือว่าเป็นเวร ถ้ากรรมก็ดึงลงอบายภูมิ นี่เป็นเวรมาสนองกัน...

ถ้าเราทำ "กรรมดี" ให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็น "การทำบุญหนีบาป...ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป" ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว

มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ "หนีบาป" ด้วยการปฏิบัติดังนี้

๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน

เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."